ถึงแม้ในโลกจะมีการพูดถึงความเท่าเทียมของเพศชายและหญิง แต่กระทั่งปัจจุบันผู้หญิงก็ยังเป็นฝ่ายที่ ‘ใช้ชีวิตได้ยากกว่า’ผู้ชายอยู่ดี และเพื่อให้เกิดความสมดุลนั้น ฝ่ายชายจึงควรเป็นฝ่ายที่ทำให้เกิดการสอดคล้องขึ้น
ยกตัวอย่างเช่นเวลาไปเที่ยว ผู้ชายก็ควรรับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดไว้ไม่ว่าจะเป็นค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าตั๋วหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆก็ตาม เพราะหากเป็นไปตามนั้นคุณผู้หญิงก็ไม่จำเป็นต้องออกเงินในกระเป๋าเลยสักนิด
เวลาไปร้านอาหารหรือการซื้อตั๋วแน่นอนว่าฝ่ายชายจะต้องแสดงออกให้ดูดีโดยการจ่ายเงินทั้งหมดด้วยตัวเองจึงไม่ต้องมีเทคนิคอะไร ส่วนค่าเดินทางนั้นถ้าเอาแต่ให้ฝ่ายชายซื้อตั๋วให้ก็คงจะทำให้ภาพลักษณ์ดูไม่ดีกลายเป็นผู้หญิงขี้งกได้ แทนที่จะเป็นอย่างนั้นคุณก็ควรให้เขาเติมเงินในบัตรให้ในครั้งเดียว นั่นจะทำให้รู้สึกประทับใจได้มากกว่า และตอนที่ขอให้เขาเติมเงินให้ก็อาจจะใช้คำพูดอย่างเช่น ‘ทำยังไงดี ถ้าไม่ได้ไปธนาคารก็ไม่มีเงินเติม แล้วแถมยังลืมเอาบัตรเงินสดมาอีก!’ ถ้าหากเขาเป็นผู้ชายที่สนใจในตัวคุณจริงเขาก็คงจ่ายให้คุณแน่นอน
หรือถ้าอยากได้อะไรเวลาไปชอปปิ้งคุณก็ไม่จำป็นจะต้องจ่ายเอง หากชายคนนั้นต้องการตัวคุณ คุณก็แค่พูดไปตามปกติว่า ‘อยากได้เครื่องประดับชิ้นนี้จัง แต่ไม่มีเงินเลย’ เพียงแค่นี้คุณก็อาจจะได้รับของขวัญสุดพิเศษจากฝ่ายชายก็เป็นได้
ถ้าทำตามนี้แล้วเขายังไม่มีทีที่ว่าจะซื้อให้ก็ลองพูดว่า ‘ก่อนหน้านี้มีเพื่อนพูดชายบอกจะซื้อเครื่องประดับที่ชอบให้ด้วยหล่ะ เป็นแค่เพื่อนกันทำไมถึงบอกจะซื้อให้เนอะ ฉันก็เลยปฏิเสธไปแล้วบอกว่าไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวแฟนฉันซื้อให้เอง’ ผู้ชายไม่ว่ายังไงก็ต้องโชว์เท่ห์โดยการซื้อให้คุณแน่นอน เพราะถ้าเป็นแค่เพื่อนชายยังบอกว่าจะซื้อให้ได้ หากเขาไม่ซื้อให้คุณนั่นก็หมายความว่าความสามารถของเขาน้อยกว่าเพื่อนชายคนนั้นด้วยซ้ำไป
คุณจะมีเงินเก็บมากขึ้นเรื่อยๆและนำเงินไปซื้อของที่อยากได้โดยการไม่ออกเงินเวลาไปออกเดท ซึ่งแฟนของคุณจะต้องจ่ายเงินมากขึ้นในส่วนนั้นแต่นั่นก็เป็นอีกหนึ่งทางที่คุณจะสามารถตรวจสอบสถานะทางการเงินของเขาได้
หากเขาเป็นผู้ชายที่ขี้งกหรือไม่มีเงินจนไม่สามารถออกค่าใช้จ่ายต่างๆให้คุณได้ คงจะดีกว่าถ้าคุณเริ่มออกห่างให้เร็วให้สุด เพราะถ้ายังติดต่อกันอยู่คุณอาจจะต้องกลายเป็นคนจนที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากก็ได้ ความรักอย่างเดียวไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่รอดได้หรอก
เขียนโดย Norman Fumiko Bates
Tweet
