คำว่า "Origami(โอริงามิ)" มาจากภาษาญี่ปุ่นซึ่งเป็นคำผสมจากคำว่า "Ori(โอริ)" แปลว่า พับ และคำว่า "Kami(คามิ)" แปลว่า กระดาษ เมื่อเวลาพูดติดกันแล้ว เสียงก็จะเพื้ยนจาก "โอริคามิ" เป็น "โอริงามิ"
เมื่อก่อนศตวรรษที่ 20 วิธีการและรูปแบบการพับกระดาษยังเป็นแบบธรรมดาทั่วไป แต่หลังจากนั้นการพับกระดาษก็ได้พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปจนมากกว่าแค่การพับกระดาษ ญี่ปุ่นได้รับความรู้ทางด้านศิลปวัฒนธรรม ด้านกสิกรรม ด้านศาสนา ด้านจิตวิทยา ด้านเวชภัณฑ์ และด้านวิทยาศาสตร์จากประเทศจีนผ่านทางเกาหลี เนื่องด้วยญี่ปุ่นมีขนาดที่เล็กทำให้ความรู้ต่างๆ ถูกกระจายออกไปได้เร็วกว่า ในการพับโอริงามินั้นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือ กระดาษ นั่นเอง ซึ่งกระดาษถูกผลิตขึ้นเป็นครั้งแรกที่ประเทศจีน ในช่วง 250 ก่อนคริตศักราช จากนั้นญี่ปุ่นก็ได้เรียนรู้วิธีการทำกระดาษ สี หมึก จากประเทศจีนและสามารถผลิตได้เองในปี ค.ศ.610 ในที่สุด
รูปแบบของโอริกามิของญี่ปุ่นมีความซับซ้อนมากขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1200 รูปแบบของการพับกระดาษจะแสดงถึงสถานที่สำคัญต่างๆ ในสังคม กระดาษในสมัยนี้ไม่แพงอีกต่อไป ใครๆก็สามารถทำกันได้ทุกคน จนเมื่อ 400 ปีที่แล้วได้มีหลักสูตรการพับกระดาษขึ้นแก่เด็กๆในโรงเรียนในช่วงค.ศ.1603-1867 และการพับกบและนก เป็น2รูปแบบการพับกระดาษที่เก่าแก่ที่สุด ต่อมาโอริงามิได้ถูกใช้เป็นสื่อการสอนด้านการศึกษาคณิตศาสตร์ และด้านวิทยาศาสตร์ ด้านเรขาคณิตต่างๆ Robert Harbinได้นำการพับกระดาษโลกตะวันตกมาประยุกต์ใช้ในการแสดงมายากลของเขา เขาได้รวบรวมงานทั้งหมดและตีพิมพ์ลงในหนังสือที่ชื่อ "Paper Margin" จากนั้นรูปแบบการดีไซน์หลายๆอันก็ได้ปรากฎในหนังสือหลายๆเล่ม
ปัจจุบัน โอริงามิรูปแบบต่างๆมีให้เห็นบ่อยๆตามหนังสือ นิตยสาร กระดาษห่อ หรือแม้กระทั่งการ์ดอวยพรในงานต่างๆ โดยทั่วไปแล้วโอริงามิ จะต้องไม่มีการใช้กาว,การฉีก,การตัด,การตกแต่งอื่นๆนอกจากกระดาษ 1แผ่นเท่านั้น และจะต้องเป็นกระดาษสี่เหลี่ยมจัตุรัสอย่างสมบูรณ์ by ぼー