ทุกคนชอบซุชิรึเปล่าคะ? ที่ประเทศไทย อาหารที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษในบรรดาอาหารญี่ปุ่น คงต้องเป็นซุชิแน่นอน และเมนูนี้ แม้แต่ที่ญี่ปุ่น หรือประเทศอื่นๆก็ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน และซูชิก็ยังเป็นอาหารที่โดดเด่นของญี่ปุ่นอืกด้วย
ในสมัยก่อน ซุชินั้นถือได้ว่า เป็นอาหารฟาสฟูดที่มีราคาน่าคบหาและเป็นอาหารที่นิยมทานเป็นอาหารว่าง โดยใช้น้ำส้มสายชูและเกลือเพื่อให้เก็บข้าวและปลาที่สามารถเน่าง่ายไว้ได้นาน
แต่ได้พัฒนามาเป็นอาหารชั้นสูงในช่วงสมัยปี 1950เพราะเริ่มมีการค้าขายปลาสดเนื่องจากการประมงเริ่มมีเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น และตู้เย็นก็ได้รับการแพร่หลาย ปลาที่หายากและปลาสดราคาก็เพิ่มขึ้น ร้านซูชิที่นำปลาที่ผู้ผลิตนำออกมาผลิตซูชิต่อนั้น จึงกลายเป็นร้านที่ยกระดับไป
มีคนที่ลุกขึ้นมาต่อต้านซูชิที่ได้การมาเป็นอาหารจานหรู ซึ่งนั้นก็คือ โยชิอะกิ ชิระอิชิ ผู้ที่เปิดร้านอาหาร"ซูชิคุยทาจิ" ร้านอาหารซูชิแบบยืนกินนี้ ไม่มีเก้าอี้ มีเพียงแต่เคาร์เตอร์ ลูกค้าที่เข้ามาในร้าน ก็ต้องสั่งซูชิกับคนทำซูชิด้านในเคาร์เตอร์ทำอาหารเอง คนทำซูชินั้นก็จะรีบปั้นซูชิให้อย่างรวดเร็วตามออเดอร์ ลูกค้าก็จะรับประทานซูชินั้นโดยทันที เมื่อรับประทานจนอิ่มแล้วก็ชำระเงิน เหล่าลูกค้าที่มาเยือนร้านใช้เวลาเข้าร้านเพียงแค่ 15 นาที เรียกได้ว่าเป็นฟาสฟูดจริงๆ จึงเป็นร้านที่สะดวกสำหรับคนที่รีบร้อน หรือคนที่ใจร้อน เวลาท้องว่าง
คุณ โยชิอากิ ที่เปิดร้านซูชิคุย นั้นสนับสนุนให้ขายซูชิในราคาถูกและลดราคาซูชิลง อย่างไรก็ตามก็เป็นที่น่าคิดว่าจะทำซูชิให้ออกมาแบบมีคุณภาพให้แก่ลูกค้าได้อย่างไร ในเวลานั้น เขาก็ได้เห็นภาพของจุกขวดที่ถูกเปิดออก และเบียร์ที่ถูกรินแล้วรินเล่า บนแก้วเบียร์ที่วางเรียงรายบนสายพาน เขาก็ได้คิดทำ "เครื่องสายพานหมุน" ที่หมุนซูชิที่วางอยู่บนสายพานรอบๆโต๊ะอาหารโดยใช้ภาพที่เห็นมาเป็นแบบ แล้วในปี 1958 ก็ได้เปิดตัว"เกงโระคุ ซูชิ"ขึ้น และนี่เป็นบ่อเกิดของซูชิจานหมุนนั้นเอง
แต่ทว่า ปีที่ซูชิจานหมุนแพร่หลายอย่างเต็มตัวที่ญี่ปุ่นคือ ปี 1978 เป็นต้นมา เนื่องจากคุณโยชิอากิไม่ได้จดลิกขสิทธิของซูชิจานหมุนไว้ จึงมีหลายบริษัทที่เปิดร้านขึ้น และทำให้ซูชิจานหมุนได้รับความนิยมมากขึ้น พจนานุกรมที่มีชื่อของญี่ปุ่น "Kōjien"ก็ได้บัญญัติศัพท์ "ซูชิจานหมุน" ไว้ในปี 1991
มีการเปิดสาขาในฐานะที่เป็นร้านค้า ซึ่งเป็นซูชิจานหมุนที่มีเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง โดยปกติแล้ว ร้านซูชิที่เปิดกิจการเป็นของตัวเองเจ้าของไม่สามารถเป็นคนทำซูชิได้โดยบริหารกิจการตังเองไปด้วย ด้วยเหตุนี้ ราคาจึงต้องถูกปรับระดับขึ้น
ในขณะเดียวกัน ซูชิจานหมุน ได้พัฒนาเป็นในรูปแบบธุรกิจ แต่ละบริษัทได้เปิดกิจการร้านขึ้นกว่า 300 ร้าน เนื่องจากขนาดของธุรกิจนั้นหลากหลาย จึงมีการจัดหาปลาที่มีคุณภาพดี และปลาสดจากทั่วทุกมุมโลก และมีการเรียกร้องให้ราคาต่ำมีมากขึ้นด้วย นอกจากนั้น ขนาดร้านค้าก็ใหญ่ขึ้น มีที่นั่งรองรับกว่า 100 ที่นั่ง และได้กลายเป็นที่ที่เหล่าบรรดาสมาชิกครอบครัวไปกันมากขึ้น
ซูชิจานหมุนมีแนวโน้ม 2 อย่าง คือ อย่างแรก คือ ที่สาขาที่มีการเรียกร้องราคาต่ำลงนั้นมี "คัปปะซูชิ" และ "ซูชิโรล" และอีกประการคือ "กัตเตงซูชิ" เนื่องจากเป็นอาหารที่หรูหรา อาหารหรูนั้น ราคาจะสูงและ คุณภาพก็จะสูงตามด้วย
ซูชิจานหมุนในรูปแบบนี้ จึงเปลี่ยนไปอีกครั้งเป็นอาหารของผู้บริโภคที่ราคาคบหาได้ และจนถึงตอนนี้ซูชิจานหมุนก็เริ่มที่จะเเพร่หลายไม่ว่าจะเป็นเอเชีย หรือ ยุโรป ซุชิจานหมุนนั้น เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของอาหารญี่ปุ่น ความนิยมของ "ซูชิ" ไม่ได้นิยมแค่ในญี่ปุ่น แต่ แพร่หลายไปทั่วทุกมุมโลก
จานที่วางซูชิหมุนนั้น โดยปกติ ซูชิจะวางเพียงแค่ 2 ชิ้น แม้แต่ร้านซูชิธรรมดาก็เช่นเดียวกัน คนปั้นซูชินั้น จะปั้นซูชิให้เพียง 2 ชิ้นเท่านั้น
เพราะเหตุฉะไหนจึงให้ซูชิแค่ 2 ชิ้นกันเล่า?? เพราะนี้เป็นวัฒนธรรมทางศาสนาของประเทศญี่ปุ่น ในสมัยก่อนสาเหตุที่ญี่ปุ่นรับประทานข้าวแค่หนึ่งถ้วย เชื่อกันว่าเป็นลางร้าย การกินข้าวเพียงชามเดียว เหมือนกับพิธีอำลา และ งานศพ ด้วยเหตุนี้ ซูชิจึงต้องวาง 2 อัน การรับประทานข้าวในปริมาณมาก กล่าวคือ เป็นสิ่งที่แสดงถึงคนที่มีอาการหิวมาก by Noboru
Tweet