วันที่ 6 สิงหาคม ปี1945ฮิโรชิม่าโดนระเบิดปรมาณูลูกแรกของโลก จากเหตุการณ์นั้นทำให้มีคนหนึ่งแสนสี่หมื่นคนต้องตายไป และในวันที่ 9สิงหาคม ที่นางาซากิก็โดนระเบิดปรมาณูลูกที่สอง มีคนเสียชีวิตไปเจ็ดหมื่นคน หลังจากเหตุการณ์นั้น มีคนอีกกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นคนได้รับผลกระทบจากรังสีของระเบิดปรมาณูนั้น ดังนั้น ในวันที่6และวันที่9 สิงหาคม จึงถูกตั้งให้เป็น "วันระเบิดปรมาณู" เพื่อเป็นการร้องขอให้ทั่วโลกยกเลิกการสร้างระเบิดปรมาณู
กระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่นแต่งตั้งให้ผู้ที่มีชีวิตรอดจากระเบิดปรมาณูในครั้งนั้นให้เป็น "ทูตเพื่อต่อต้านการสร้างนิวเคลียร์"และมีการเล่าเรื่องราวของพวกเขาให้ชาวโลกได้ฟังกัน ในวันที่6สิงหาคม คุณมิจิโอะ ฮาการิยะ อายุ76ปี ได้มาเล่าประสบการณ์ในเหตุการณ์การทิ้งระเบิดปรมาณูในฐานะที่เป็นทูตต่อต้านการสร้างนิวเคลียร์ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในกรุงเทพฯ คุณฮาการิยะในตอนนั้นอายุเพียงแค่ 8ขวบ อยู่ที่บ้านที่อยู่ห่างจากศูนย์กลางการทิ้งระเบิดเพียงแค่4กิโลเมตร
ปัจจุบัน ในปีหนึ่งๆเขาจะอยู่พักที่เชียงใหม่เป็นเวลานานหลายเดือน เมื่อประมาณสามปีที่ผ่านเขาทำงานบรรยายเกี่ยวกับความน่ากลัวของระเบิดนิวเคลียร์ที่เชียงใหม่
และในครั้งนี้เขาก็ได้มาบรรยายที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีนักศึกษาจากคณะสังคมศาสตร์เข้าร่วมฟังบรรยายกว่า 200คน คุณฮาการิยะอธิบายไปพร้อมกับให้ดูภาพในวันที่ระเบิดถูกทิ้งลงมา
ในวันนั้น คุณฮาการิยะจะไปตกปลาที่แม่น้ำกับเพื่อนๆและพี่ชายของเขา แต่แม่ห้ามไม่ให้เขาและพี่ชายไป เพราะว่าจะต้องทำการบ้านปิดเทอมหน้าร้อนให้เสร็จซะก่อน ด้วยเหตุนั้น เขาและพี่ชายเลยได้แต่ร้องไห้ที่ไม่ได้ไปกับเพื่อนๆแล้วก็เริ่มทำการบ้าน ตอนที่เขากำลังเขียนภาพอยู่นั้น เขาก็มองเห็นแสงไฟสว่างวาบขึ้น จึงคิดได้ว่าคงจะเป็นการทิ้งระเบิดลงมาแน่ๆเลยรีบคว่ำตัวลง จากนั้นก็มีลมจากแรงระเบิดพัดผ่านไปอยางแรงมากตามมาทันที
ลมจากแรงระเบิดนั้นมีความแรงมากจนทำได้ถึงขนาดที่ว่ากระจกสามารถทะลุกำแพงได้เลยทีเดียว บ้านก็เริ่มพังทลายพี่ชายชั้นม.ต้นของเขาได้รับบาดแผลจากเศษกระจก ส่วนตัวเขาและแม่ของเขานั้นปลอดภัยดี เมื่อเริ่มตั้งสติได้ก็รีบไปที่หลุมหลบภัยทันที เพราะหลังบ้านของเขามีภูเขา จึงทำให้ลดแรงปะทะจะากลมของระเบิดนิวเคลียร์ได้
"ถ้าวันนั้นผมออกไปตกปลากับเพื่อนที่แม่น้ำ ผมจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้" เพื่อนที่ออกไปที่แม่น้ำในวันนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย พอได้เห็นรูปศพของเด็กคนอื่นๆแล้วก็ทั้งกลัวทั้งเศร้า
ในวันต่อๆมา ก็มีการเผาศพคนที่เสียชีวิตจากระเบิดนิวเคลียร์ในบริเวณพื้นที่รอบๆ โดยการนำร่างของผู้เสียชีวิตมากองทับถมกันแล้วจุดไฟเผาทุกๆวัน ตอนแรกกลัวมากไม่กล้าเข้าใกล้บริเวณที่เผาศพแต่ไม่นานภาพนั้นก็เป็นภาพที่เคยชิน ถึงแม้ว่าจะยังเด็กแต่"ความตาย" ก็อยู่เพียงแค่เอื้อม
จากนั้น ในวันที่15สิงหาคม ญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้สงคราม ทำให้สงครามโลกจบลง ไม่มีอีกแล้วกับเสียงสัญญาณเตือนภัย กับการต้องเข้าไปหลบอยู่ในหลุมหลบภัยที่แสนอึดอัด ตอนนั้นรู้สึกดีใจที่ได้ออกมามีชีวิตที่เป็นอิสระข้างนอกได้ แต่ก็รู้สึกเจ็บใจเมื่อรู้ว่าชาติของตนพ่ายแพ้ต่อสงคราม
ระหว่างสงคราม พี่ชายคนโตที่เรียนอยู่ที่โรงเรียนพลทหารเรือเป็นที่ภาคภูมิใจอย่างมาก ตอนเด็กๆคิดมาตลอดว่าจะตายเพื่อประเทศชาติอย่างภาคภูมิ ที่โรงเรียนก็วาดรูปเรือรบกับเครื่องบินรบที่ตัวเองชอบมากๆไว้เยอะเลย และเขาก็เข้าไปฝึกอบรมเตรียมทหารอย่างไม่รู้ตัว
ความทรงจำในตอนนั้นค่อนข้างจะจางหายไปเกือบหมดแล้ว แต่ผลกระทบที่ได้รับมากที่สุดในตอนนั้นคือผู้คนมากมายต้องตาย ลูกระเบิดและการที่ต้องใช้ชีวิตด้วยความยากลำบาก